นิ้วของคุณเปลี่ยนโลก ประวัติศาสตร์และอนาคตของจอสัมผัส
  ในโลกของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน หน้าจอสัมผัสกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันโดยที่เราแทบไม่ทันรู้ตัว แต่ก่อนที่นิ้วเราจะลากผ่านหน้าจอสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตในทุกเช้า ทุกคำสั่งที่ส่งผ่านปลายนิ้วเหล่านั้นมีรากฐานมาจากการพัฒนาอันยาวนาน และในหมู่เทคโนโลยีเหล่านี้ “จอทรัสกีน” (Touchscreen) คือสิ่งที่มีการพัฒนาอย่างน่าสนใจและต่อเนื่องยิ่งนัก
 
จอทรัสกีน ไม่ได้ถือกำเนิดมาพร้อมกับ iPhone หรือสมาร์ตโฟนยุคใหม่ หากย้อนกลับไปในทศวรรษ 1960 เราจะพบต้นกำเนิดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จอสัมผัสแบบแรกของโลกเกิดขึ้นในห้องทดลองของ E.A. Johnson วิศวกรจาก Royal Radar Establishment แห่งสหราชอาณาจักร เขาได้คิดค้นหน้าจอสัมผัสแบบ capacitive ที่สามารถรับรู้การสัมผัสโดยไม่ต้องออกแรงกด จอประเภทนี้ในช่วงแรกถูกใช้ในห้องควบคุมการบินและงานอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูง
 
  ยุคถัดมาคือช่วงปี 1970-1980 เมื่อเทคโนโลยี resistive touchscreens ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยใช้หลักการของการกดให้แผ่นนำไฟฟ้าสองชั้นสัมผัสกันเพื่อสร้างสัญญาณไฟฟ้า ระบบนี้แม้จะมีความแม่นยำต่ำกว่าระบบ capacitive และไม่รองรับมัลติทัช แต่กลับได้รับความนิยมในเชิงพาณิชย์มากกว่า เนื่องจากต้นทุนต่ำและใช้งานได้แม้ในขณะที่ผู้ใช้สวมถุงมือ
 
การมาถึงของยุค 2000 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของจอทรัสกีนอย่างแท้จริง Apple เปิดตัว iPhone รุ่นแรกในปี 2007 พร้อมหน้าจอสัมผัสแบบ capacitive ที่สามารถรองรับการสัมผัสหลายจุด (multi-touch) ได้ นั่นไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าในแง่เทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนแปลงวิธีที่มนุษย์ปฏิสัมพันธ์กับเครื่องจักรไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เราพิมพ์หรือคลิกผ่านเมาส์ ตอนนี้แค่ลากนิ้วก็เพียงพอ
 
จากวันนั้นถึงวันนี้ จอทรัสกีนไม่ได้หยุดอยู่แค่ capacitive หรือ resistive เท่านั้น แต่ยังมีการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ เช่น infrared touch, optical imaging, และ projected capacitive ที่มีความไวและแม่นยำสูงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะระบบที่ใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ ยานยนต์ และอุปกรณ์พกพาที่ต้องการทั้งความทนทานและความแม่นยำ
 
ล่าสุด แนวโน้มของเทคโนโลยีจอสัมผัสได้ก้าวไปสู่สิ่งที่เรียกว่า haptic feedback หรือการตอบสนองแบบสัมผัสเสมือนจริง รวมถึงการพัฒนา “หน้าจอโปร่งใส” และ “หน้าจอสัมผัสสามมิติ” ที่สามารถตรวจจับแรงกดและระยะห่างจากนิ้วผู้ใช้ ไม่ใช่แค่ตำแหน่งเท่านั้น อีกทั้งยังมีความพยายามในการหลอมรวมเทคโนโลยีหน้าจอสัมผัสเข้ากับพื้นผิวที่ไม่ใช่กระจก เช่น ผ้า โลหะ หรือแม้กระทั่งผิวหนังมนุษย์
 
  ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่า จอทรัสกีนยังคงอยู่ระหว่างการเดินทางของวิวัฒนาการ และแม้ว่าปัจจุบันเราจะใช้มันอย่างเป็นธรรมดา แต่ในอนาคต  ที่ซึ่งเราสามารถสัมผัสสิ่งต่างๆ ผ่านอากาศ หรือเพียงแค่คิด ก็อาจจะไม่ไกลเกินจริงเท่าไรนัก